วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

236. พระกริ่งปวเรศ รุ่นผสมเหล็กไหลเปียก

พระกริ่งปวเรศ รุ่นผสมเหล็กไหลเปียก

ผู้เขียนได้กล่าวถึง พระกริ่วงปวเรศ หรือ พระกริ่งของสายวังที่สร้างในสมัย รัชกาลที่ 3 ถึง รัชกาลที่ 5 ที่ผ่านๆมาหลายกระทู้  แต่ในกระทู้นี้จะกล่าวถึงพระกริ่งปวเรศรุ่นพิเศษชุดหนึ่ง ที่โลหะธาตุขององค์พระกริ่งได้มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก

เหล็กไหลเปียกได้ถูกใช้เป็นมวลสารพิเศษที่เป็นส่วนผสมกับโลหะธาตุอีกหลายๆชนิดได้หลอมสร้างอยู่ในองค์พระกริ่งปวเรศชุดนี้  ทำให้องค์พระกริ่งฯเกิดความเย็นและวรรณะสีผิวจะมีความชื้นตลอดเวลา  ไม่แห้งเหมือนกับพระกริ่งปวเรศรุ่นอื่นๆที่สร้างแล้วสีผิวจะแห้งสนิท

2361001
ภาพขยายด้านหน้า ความชื้นขององค์พระกริ่งปวเรศที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก คล้ายกับการเกิดตะไคร่น้ำสีเขียวๆ


2361002
ภาพขยายด้านหน้า ความชื้นขององค์พระกริ่งปวเรศที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก คล้ายกับการเกิดตะไคร่น้ำสีเขียวๆ


2361003 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก องค์นี้มีรูปร่าง-ท่าทางต่างๆ กล่าวได้ว่าเป็นองค์ต้นแบบของพระกริ่งปวเรศองค์ที่อยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารนำมาเป็นแบบพิมพ์สร้าง

พระกริ่งปวเรศ

2361004 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก
พระกริ่งปวเรศ
2361005 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก
พระกริ่งปวเรศ
2361006 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก
พระกริ่งปวเรศ

2361007 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก
พระกริ่งปวเรศ

2361007 พระกริ่งปวเรศ ผสมเหล็กไหลเปียก อายุการสร้างผ่านมามากกว่า 150  ปี อธิษฐานจิตปลุกเสกโดยเจ้าประคุณสมเด็จโต รรณะสีผิวกลับดำ แต่มีสิ่งที่แปลกจากพระกริ่งปวเรศรุ่นอื่นๆ คือ ผิวพรรณขององค์พระเหมือนกับมีความชื้นและคล้ายกับมีตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะ จะเก็บไว้ในที่ใดความชุ้มชื้นจะคงมีไม่เปลี่ยนแปลง


 พระกริ่งปวเรศชุดนี้เป็นพระกริ่งปวเรศที่ผู้เขียนเคยเขียนขึ้นกระทู้มาก่อนหน้านี้  มาบัดนี้ผู้เขียนทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นพระกริ่งปวเรศที่มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก  จึงได้เขียนเพิ่มข้อมูลเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษา และผู้ที่มีพระกริ่งปวเรศวรรณะสีผิวลักษณะดังรูปได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติม ว่าพระกริ่งปวเรศรุ่นนี้มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก  


พระกริ่งปวเรศผสมเหล็กไหลเปียกที่ผู้เขียนพบจำแนกได้ดังนี้
     พระกริ่งฯองค์ใด มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียกมาก จะมีสีเขียว(คล้ายตะไคร่น้ำ)เกิดขึ้น
มาก 

     พระกริ่งฯองค์ใด
มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียกน้อย จะมีสีเขียว(คล้ายตะไคร่น้ำ)เกิดขึ้น
น้อย

     และผู้เขียนยังได้พบพระกริ่งปวเรศที่มีหน้าหน้าพิมพ์ทรงเหมือนกับพระกริ่งปวเรศที่ผสมเหล็กไหลเปียก แต่ไม่มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียกก็มี  


     ดังนั้นถ้าหากองค์ใดมองแล้วไม่มีความชื้นและไม่เกิดลักษณะสีเขียวคล้ายตะไคร่น้ำ  ให้เข้าใจว่าพระกริ่งฯองค์นั้นไม่มีส่วนผสมของเหล็กไหลเปียก


     และท้ายสุดขอแสดงความยินดีกับญาติธรรมหลายๆท่านที่ได้เป็นเจ้าของครอบครอง พระกริ่งปวเรศรุ่นเหล็กไหลเปียก  และพระกริ่งปวเรศเหล็กไหลเปียกชุดนี้ดีอย่างไร ในกระทู้นี้ไม่ขอกล่าวถึง 
     หากกล่าวถึงเหล็กไหลเปียก หรือ เหล็กเปียก ที่ผู้เขียนเคยพบเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมาก พรรณสัณฐาน สีขาวขุ่นเหมือนตะกั่ว นับเป็น โลหะธาตุที่มีเนื้อเปียกชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับน้ำค้างจับเกาะ และมีความเย็น เหล็กไหลเปียกอยู่ในสถานที่ใดก็จะเกิดบรรยากาศเย็นสบาย ถ้าอยู่ใกล้ลูกปืน อาจทำให้กระสุนด้านเพราะการแผ่รังสีความเย็นของเหล็กเปียก สมัยโบราณนิยมใช้เหล็กเปียกประดับไว้ที่ ยอดพระเจดีย์ ป้องกันฟ้าผ่า มีอานุภาพทางหนังเหนียว คงกระพันอาวุธทุกชนิด ดูดพิษร้อน(พลังงานความร้อน) 
             
แต่จะสรุปสั้นๆดังนี้ พระกริ่งปวเรศผสมเหล็กไหลเปียกนี้มีพลังฯ ไร้ขีดจำกัด ครอบจักรวาล

209. ลองดูเอาเองนะว่ารอดมาได้ไง ภาค 2

ลองดูเอาเองนะว่ารอดมาได้ไง ภาค 2
เป็นเรื่องจริงของ 
ร.ต.ท.ศุภชัย อุดหนองเลา (ข้อมูลเพิ่ม)
กระทู้นี้ผู้เขียนขอนำเสนอรูปภาพประกอบเพิ่มเติม

2091001
รั้วบ้าน ได้เวลาสร้างใหม่  มองดูซินั้นอะไร?
 
2091002
รถคันงามของ ร.ต.ท.ศุภชัย อุดหนองเลา ถูกรถคันหลังชนด้วยความเร็วประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พุ่งกระแทกรั้วพังเป็นแถบ นอนตะแคงซ้ายหมดฤทธิ์


2091003
ภายหลังถูกชนท้ายชั่วพลิบตารถคันงามของ ร.ต.ท.ศุภชัย อุดหนองเลา กลายสภาพเป็นซากรถ
 2091004
วัตถุมงคลที่ ร.ต.ท.ศุภชัย อุดหนองเลา ห้อยคอในขณะเกิดเหตุ
ประคำเหล็กไหลไพลดำ
พระสมเด็จท็อป 4
พระสมเด็จวัดระฆังเกศบัวตูม

 

208. ลองดูเอาเองนะว่ารอดมาได้ไง


ลองดูเอาเองนะว่ารอดมาได้ไง 
เป็นเรื่องจริงของ 
ร.ต.ท.ศุภชัย อุดหนองเลา (ผู้หมวด...คนซ้ายมือ)
เรื่องนี้เจ้าของเรื่องได้มีวัตถุประสงค์เล่าเปิดเผยเพื่อเป็นวิทยาทานในบล๊อกนี้...ผู้เขียนขอกล่าวขอบคุณอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้

--- พึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวัน ที่ 5 เม.ย.55 เวลาประมาณ 15.30 น.ที่ผ่านมานี้เอง
--- ซึ่งตอนนั้นผมกับแฟนกำลังกับจากสกลนคร พอรถวิ่งใกล้จะถึงอุดร
--- ก็มีรถกระบะขับมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชน
     ***ท้ายรถยนต์ ของผม
     *** ยางหลังฝั่งขวามือระเบิด
     *** รถผมส่ายไปมา
     *** จากนั้นรถยนต์ก็ได้ไปชนกำแพงอิฐบล็อก พัง
     *** ส่วนรถของผมนั้นพอชนกำแพงแล้วรถก็ตะแครงขึ้น ออกได้ฝั่งเดียวคือฝั่งคนขับ
     *** หลังจากนั้นก็เรียกให้คนที่มามุงดูให้ช่วยออกมา ตอนแรกผู้คนเขาไม่กล้ามาช่วยเพราะกลัวรถของผมระเบิดเพราะรถผมติดแก๊สแอลพีจี
     *** พอผมออกมาได้ก็ช่วยแฟนออกมา
     *** ส่วนผมนั้นไม่มีบาดแผลหรืออาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
     *** ส่วนแฟนผมนั้นเคล็ดขัดยอก บวม ช้ำตามแขนและขา
     *** และคนที่ขับรถยนต์ตามหลังผมมานั้นเขาถามว่ามีคนตายกี่คน ผมจึงบอกไปว่าไม่มีใครเป็นอะไรมาก
     *** และเขาก็เล่าให้ฟังว่ารถกระบะที่วิ่งตามหลังรถผมมานั้นวิ่งมาด้วยความเร็วสูง แล้วก็ชนรถของผม  แล้วรถผมลอยละล่อง
     *** ตอนที่รถลอยอยู่นั้นผมคิดว่ายังไงก็ต้องตายแน่ๆ เพราะดูสภาพรถแล้วรอดยาก ด้วยเดชะบุญยังไม่ถึงที่ 
หน้ารถ หรือนี่ โอ้.............




ท้ายรถที่ถูกชน...รถทั้งคันกลายสภาพเป็นเศษเหล็ก...


     *** ผู้คนจึงถามว่าไม่เป็นอะไรแล้วห้อยพระอะไร
     *** ซึ่งในคอผมนั้นใส่
1. 
พระสมเด็จวัดระฆังเกศบัวตูม
2. 
 สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ
3.
และพระสมเด็จท็อป4

เจ้าของเรื่องผู้ประสบอุบัติเหตุ ตั้งชื่อเรื่องว่า "ลองดูเอาเองว่ารอดมาได้ไง"

ผู้เขียนดูจากสภาพรถแล้วรอดยากถ้าพระ...ไม่สงเคราะห์   จากการสอบถามขอความเมตตาจากพระเบื้องบน...ได้ข้อมูล...พระฤาษีชั้น พรหม...ช่วยเหลือสงเคราะห์ในการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้จากหนักเป็นเบา

สรุปวัตถุมงคล
1. พระสมเด็จวัดระฆังคนรู้จักมากมายผู้เขียนไม่ขอกล่าวถึง 
2. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ

3. พระสมเด็จท็อป 4

170. เหล็กไหลดูดทรัพย์

เหล็กไหลดูดทรัพย์

เหล็กไหลที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในก่อนหน้านี้มีข้อมูลด้วยกันหลายกระทู้  เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมจะเขียนเพิ่มอีกครั้งหนึ่ง
     เหล็กไหลของสายวังที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อธิษฐาน จิตปลุกเสกมีมากมาย เช่น เหล็กไหลสร้างในลักษณะเม็ดประคำ  ร้อยเป็นสร้อยประคำ ใส่ในองค์พระ ทำเป็นเม็ดกริ่ง  ทำเป็นองค์พระ...ขนาดห้อยบูชาหลากหลายพิมพ์  ที่ผู้เขียนพบเห็นนับได้ว่ามากจริงๆ รวมระยะเวลาการสร้างหลายปีหลายวาระ  ผู้คนที่พบเห็นทั่วๆไป  เกือบ 100% ไม่เชื่อว่าเป็นเหล็กไหล  คนที่มีตาที่ 3 เมื่อพบเห็นสัมผัสต่างเก็บเอาไว้ในครอบครองแบ่งปันในกลุ่มของตน  

     นานเกือบ 30 ปี  ผู้เขียนจึงได้พบและบุคคลที่ครอบครองจากการนำออกมาจากวัดพระแก้ว(วัดพระศรี รัตนศาสดาราม) ที่เสียชีวิตต่างเป็นที่น่าเวทนาอย่างมาก เกือบทุกคนตกนรกอเวจี ผู้ที่ตกไปแล้วพอมีบุญอยู่บ้างเมื่อได้รับการสงเคราะห์ด้วยอนิสงค์ของบุญ เก่าที่ได้สร้างไว้  ส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็นเทวดา  ส่วนผู้ที่มีบุญน้อยมากๆยังคงต้องรับผลกรรมที่ตนเองได้กระทำขึ้น   

     ผู้ที่ได้รับซื้อต่อกันมาเป็นทอดๆ  คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะรู้ว่าเป็นของวัดพระแก้ว...เมื่อได้รับมาเก็บไว้นาน เกือบ 30 ปี  คนรุ่นแรกที่ได้มาส่วนใหญ่จะตายหมด  มีส่วนน้อยที่ยังมีชีวิต  และคนที่สืบทอดสมบัติต่อได้ครอบครองสมบัติของที่ออกมาจากวัดพระแก้ว  ยังมีของที่ออกมาจากวัดพระแก้วจำนวนมาก  เมื่อมีผู้สอบถามต้องการจึงได้ระบายออกมาเป็นระยะๆ

     เหล็กไหลที่พบมีที่โดดเด่นที่พบในจำนวนที่มาก คือ เหล็กไหลดูดทรัพย์ ดูดสิ่งที่เป็นสิริมงคล  โชคลาภ  วาสนา  เงินทอง  บุญบารมีเก่า  ฯลฯ  เหล็กไหลดูดทรัพย์โบราณได้เคยกล่าวไว้ในตำราแต่คนในยุคปัจจุบันไม่รู้จัก  ซึ่งก็คือเหล็กไหลไพลดำที่ผู้เขียนเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้  มีลักษณะการดูดคล้ายแม่เหล็ก

     การสร้างเป็นเม็ดประคำ หรือ รูปทรงขององค์พระ... เจ้าพระคุณ สม เด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)ท่านได้ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุ ขอเทวดา รวมทั้งผู้ดูแลรักษาเหล็กไหล ให้ช่วยเหลือมาร่วมสร้างบุญบารมีกับพระพุทธศาสนา  เพื่ออนาคตผู้ที่มีบุญ...ได้รับการสงเคราะห์จากเหล็กไหลที่ได้สร้างขึ้น

     เหล็กไหลที่ได้มอบจากเทวดา รวมทั้งผู้ที่ดูแลรักษาเหล็กไหลได้ให้เหล็กไหลเสด็จมารวมตัวกัน  ช่างสิบหมู่เป็นผู้สร้างหุ่นเทียนขึ้น  เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ท่านใช้วิชา กสิณไฟ (เตโชกสิณ) ด้วยพลังบารมีของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ทำให้เหล็กไหลหลอมตัวอยู่ในหุ่นเทียนขี้ผึ้ง และกำหนดจิตให้แข็งตัว อีกทั้งกำกับและอธิษฐานจิตให้มีพลังพุทธานุภาพในการอธิษฐาน

     สร้อยประคำผู้เขียนได้กล่าวและนำรูปมาลงไว้หลายกระทู้  ขอสรุปสั้นๆ ดังนี้  เหล็กไหลจะประกอบด้วย 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
     1. เหล็กไหลมีลักษณะเป็นเหมือนแม่เหล็ก  ดูดเหล็กติด และดูดเหล็กไหลที่มีลักษณะเหมือนกันติด  แบบนี้เรียกว่า เหล็กไหลดูดทรัพย์ เด่นทางด้านดูดทรัพย์สินเงินทอง โชคลาภ วาสนา ดูดบารมีเก่า ดูสิ่งที่เป็นมงคลฯลฯ  เหล็กไหลดูดทรัพย์จึงเป็นเหล็กไหลที่เหมาะสมที่สุดในการมีไว้ครอบครอง
รูปที่ 1 
เหล็กไหลดูดทรัพย์
เหล็กไหลดูดทรัพย์ สิ่งมงคลฯลฯ

     2. เหล็กไหลมีลักษณะไม่เป็นแม่เหล็ก  ดูดเหล็กไม่ติด  และไม่ดูดเหล็กไหลที่มีลักษณะเหมือนกันไม่ติด  แต่ที่พิเศษคือ ยอมให้ไหลไหลที่มีลักษณะเหมือนแม่เหล็กดูดติดได้  เหล็กไหลประเภทนี้เรียกว่า เหล็กไหลไพลดำ  เหล็กไหลชนิดนี้มีสร้างในยุคของ หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) มีพุทธคุณด้อยกว่าเหล็กไหลดูดทรัพย์  เนื่องจากแรงดูดต่างกัน
รูปที่ 2 เหล็กไหลไพลดำ ประเภทยอมให้แม่เหล็กดูดติดได้ เช่น สร้อย ประคำเหล็กไหลสร้างปี พ.ศ.2411 มีลักษณะไม่ดูดติด ยกเว้นในวงสีขาวเป็นเหล็กไหลดูดทรัพย์มีลักษณะเป็นคล้ายแม่เหล็ก สร้างในสมัย ร.5 อธิษฐานจิตโดยเจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
เหล็กไหลไพลดำ ประเภทยอมให้แม่เหล็กดูดติดได้

         หากเป็นเหล็กไหลไพลดำ ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 พุทธคุณจะเน้นการใช้เพื่อการปกป้องและคุ้มครอง  ที่โดดเด่น คือ การใช้เพื่อเรียนวิชากสิณไฟ (เตโชกสิณ)  รูปที่ 3 เหล็กไหลไพลดำ ประเภทยอมให้แม่เหล็กดูดติดได้ สร้างในยุค ร.6 
     3. เหล็กไหลมีลักษณะไม่เป็นแม่เหล็ก  และแม่เหล็กไม่สามารถดูดติดได้  พระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆของสายวัง ที่หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)ไม่นิยมนำมาสร้าง 
วัตถุมงคลที่นำเหล็กไหลมาสร้างลักษณะรูปทรงลูกลักบี้  
     ด้านหน้ามีรูปเหมือน เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)   พระ สิวลี  และพระชุดเบญจภาคี ฯลฯ  ที่ผู้เขียนพบสร้างด้วยเหล็กไหลดูดทรัพย์เกือบทั้งหมด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุมงคลที่เซียนพระมองข้าม  แต่กลุ่มผู้มีตาที่ 3 เก็บกวาดเรียบถ้าหากพบเห็น  ผู้เขียนได้พบมาจำนวนหนึ่ง  และเก็บมอบให้กับผู้ที่เชื่อและศรัทธาไปมากกว่าครึ่ง เช่น

เหล็กไหลดูดทรัพย์ รูปเหมือน พระสิวลี ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
  
รูปที่ 4 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระสิวลี ทรงลักบี้(ปิดทองคำเปลว)
 
 เผยให้เห็น เหล็กไหลดูดทรัพย์มีเนื้อสีดำมันวาว  และรูปเหมือนพระสิวลีเป็นเนื้อผงนำมาประกบติดกับเหล็กไหลดูดทรัพย์  เด่นทางด้าน ดูดทรัพย์  ทางด้านทรัพย์สิน โชคลาภ วาสนา บุญบารมี ฯลฯ
*** ขอเตือนผู้ครอบครองรับมาจากตลาด เหล็กไหลดังรูปที่ 4 นี้  ผู้ครอบครองเดิม  หวงและได้ลง ของอัปมงคลไว้ คือ จิตของวิญญาน และตปู  เพื่อเป็นการ "ลองของ" ผู้ ที่ได้พบว่ามีวิชา และสามารถแก้ได้หรือไม่  ถ้าแก้ได้เขาก็ให้ไป  แต่เขาไม่ได้มุ่งหวังชีวิต  เนื่องจากมีผู้ตามหาเหล็กไหลมาก  ผู้ครอบครองเขาแบ่งให้แต่สร้างเงื่อนไขเอาไว้
     ดังนั้นผู้ที่ได้เก็บมาจากตลาด  ผู้เขียนขอเตือน  ให้หาผู้รู้ช่วยแก้ไขให้  แต่ถ้าท่านใดได้รับจากผู้เขียนไป  "สบายใจได้" เพราะพระเบื้องบน...ท่านเมตตาสงเคราะห์ปัดเป่าให้เรียบร้อย  เหลือแต่สิ่งดีๆดังเช่น เมื่อครั้งที่ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อธิษฐานจิตในปี พ.ศ.2404
     ผู้เขียนขอกล่าวขอบคุณท่านผู้ครอบครองเดิมที่มีเมตตาสงเคราะห์  แบ่งปันสมบัติที่ท่านครอบครองให้ผู้ที่มีบุญวาสนาได้ครอบครอง ขอโมทนาบุญด้วยทุกประการ

เหล็กไหลดูดทรัพย์ รูปเหมือน เจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)   ทรงลักบี้สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 5 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ รูปเหมือน เจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ทรงลักบี้(ปิดทองคำเปลว)

เหล็กไหลดูดทรัพย์ ชุด เบญจภาคี ทรงลักบี้สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404 ประกอบด้วย พิมพ์
     พระสมเด็จวัดระฆัง ที่สร้างโดย ท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์(โต)พฺรหฺมรังษี เป็นตัวแทนยุค รัตนโกสินทร์
     พระรอด กรุวัดมหาวัน จังหวัดลำพูน เป็นตัวแทนยุค ลพบุรี
     พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นตัวแทนยุค อู่ทอง-สุพรรณภูมิ
     พระซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชรเป็นตัวแทนยุค สุโขทัย
     พระนางพญา กรุวัดนางพญา จังหวัด พิษณุโลก เป็นตัวแทนยุค อยุธยา-พระพิษณุโลกสองแคว
     พระทั้ง 5 พิมพ์นี้จะเป็นเนื้อมวลสารพิเศษที่ยึดติดกับเหล็กไหลดูดทรัพย์ทรงลักบี้
         
         พระพิมพ์ที่ท่านเจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) อธิษฐานจิต  มีมากมายหลากหลายทรงพิมพ์และชุดเบญจภาคี ในสมัย ที่หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) มีชีวิตอยู่นั้น  ไม่มีใครรู้จักคำว่าชุดเบญจภาคีพระเครื่องชุดดังของวงการในยุคนี้  แต่ในปี พ.ศ.2404 พระพิมพ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีผู้บัญญัติเกิดขึ้น
         
         เซียนตำราเขากล่าวว่า สุดยอดพระเครื่องของเมืองไทยเป็นที่นิยมมาไม่ต่ำกว่า 50 ปี และครองความนิยมและสุดยอดปรารถนา ของเหล่านักเลงพรชุดเบญจภาคี อันประกอบด้วยพระ 5 องค์ เป็นที่สุดยอดของแต่ละยุคสมัย และเป็นสุดยอดของพุทธคุณ ผู้ใดได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ย่อมเชื่อได้ว่า คนผู้นั้นเปี่ยมด้วยวาสนา บารมี ราคาเช่าหามีมูลค่าสูงมากถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง  ใครมีไว้มักจะหวงแหนมาก  จะขอชมยาก กลัวถูกโจรกรรม  จึงไม่ไม่ให้ใครชม  


เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระสมเด็จวัดระฆัง ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 6 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระสมเด็จวัดระฆัง ทรงลักบี้ (ปิดทองคำเปลว)

เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระรอด ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 7 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระรอด ทรงลักบี้ (ปิดทองคำเปลว)
 

เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระผงสุพรรณ์ ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 8 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระผงสุพรรณ์ ทรงลักบี้ (ปิดทองคำเปลว)
 

เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระซุ้มกอ ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 9 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระซุ้มกอ ทรงลักบี้ (ปิดทองคำเปลว)
 

เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระนางพญา ทรงลักบี้ สร้างอธิษฐานจิตโดย หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
รูปที่ 10 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ พระนางพญา ทรงลักบี้ (ปิดทองคำเปลว)

การห้อยพระเบญจภาคีเซียนตำรายังกล่าวอีกว่า 
          พระ เครื่องชุดเบญจภาคี งามหมดจดด้วยพุทธศิลป์ เปี่ยมด้วยพุทธบารมีเป็นที่น่าเกรงขาม ถ้าได้มาห้อยคอผู้ใดแม้เพียงองค์เดียว ก็เหมือนหมุนให้ผู้นั้น มีรัศมีเรืองรองจับขึ้นมาทันที 
          ถ้าเราจะอาราธนามาเข้าชุดในสร้อยเส้นเดียวกัน  
          1. สมเด็จวัดระฆัง อยู่ตรงกลาง 
          2. พระนางพญา อยู่ล่างซ้าย 
          3. พระซุ้มกอ อยู่ล่างขวา 
          4. พระผงสุพรรณ อยู่บนซ้าย 
          5.พระรอด อยู่บนขวา 
          ดูจะสมดุลได้สัดส่วนเหมาะสมเป็นที่สุด อ้างอิงลิงก์บทความ...(คลิก)
  
รูปที่ 11  
เหล็กไหลดูดทรัพย์ชุดเบญจภาคี จัดตามชุดในสร้อยเส้นเดียวกันที่เซียนตำราบัญญัติ

 
 
 

เหล็กไหลดูดทรัพย์ ชุด เบญจภาคี สร้างอธิษฐานจิตโดย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ในปี พ.ศ.2404
ประกอบด้วย พิมพ์
     พระสมเด็จวัดระฆัง ที่สร้างโดย ท่านเจ้าพระคุณ  สมเด็จพุฒาจารย์(โต)พฺรหฺมรังษี เป็นตัวแทนยุค รัตนโกสินทร์
     เหล็กไหลดูดทรัพย์ ชนิดที่มีอายุมากที่สุดของกลุ่มเหล็กไหลที่อยู่ในกลุ่มประเภทเดียวกัน หากจะพูดให้เข้าใจ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างได้ ชื่อ ต่างๆ กัน ดังนี้

     - ถ้าเป็น ต้นไม้ คือ วงปีของต้นไม้วงในสุด
     - เหล็กไหลดูดทรัพย์จะมีการเกิดรวมตัวกันเป็นครอบครัว  เริ่มต้นแต่  รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน เรียกว่า โคตรเหล็กไหลดูดทรัพย์
     - ต้นตระกูลของไหลไหลดูทรัพย์
     - แกนเหล็กไหลดูดทรัพย์
 
รูปที่ 12   
พระสมเด็จวัดระฆังเหล็กไหลดูดทรัพย์

พระสมเด็จองค์นี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ท่านใช้วิชา กสิณไฟ (เตโชกสิณ) ทำให้เหล็กไหลหลอมตัวอยู่ในหุ่นเทียนขี้ผึ้ง และกำหนดจิตให้แข็งตัว อีกทั้งกำกับและอธิษฐานจิตให้มีพลังพุทธานุภาพในการอธิษฐาน

 รูปที่ 13   
พระสมเด็จวัดระฆัง เหล็กไหลสีปีกแมลงทับ (ไม่ใช่เหล็กไหลดูดทรัพย์)

พระสมเด็จองค์นี้ หลวงพ่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ท่านใช้วิชา กสิณไฟ (เตโชกสิณ) ทำให้เหล็กไหลหลอมตัวอยู่ในหุ่นเทียนขี้ผึ้ง และกำหนดจิตให้แข็งตัว อีกทั้งกำกับและอธิษฐานจิตให้มีพลังพุทธานุภาพในการอธิษฐาน

      พระรอด กรุวัดมหาวัน จังหวัดลำพูน เป็นตัวแทนยุค ลพบุรี
     พระผงสุพรรณ กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นตัวแทนยุค อู่ทอง-สุพรรณภูมิ
     พระซุ้มกอ จังหวัดกำแพงเพชรเป็นตัวแทนยุค สุโขทัย
     พระนางพญา กรุวัดนางพญา จังหวัด พิษณุโลก เป็นตัวแทนยุค อยุธยา-พระพิษณุโลกสองแคว
         พระทั้ง 5 พิมพ์นี้ เป็นหล็กไหลดูดทรัพย์ (ปิดทองคำเปลว)
เพิ่มเติมข้อมูลวันที่ 31/12/2555

ที่วัดป่าประชาสามัคคีธรรม อ.บรบือ จ.มหาสารคาม จากเว็ป มณีตาคราช เพชรนาคา เสด็จทางอากาศเรื่องอจินไตย  
 
เหล็กไหลดูดทรัพย์ รูปเหมือน เจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ทรงลักบี้(ปิดทองคำเปลว)
และพระสมเด็จ เหล็กไหล ได้เสด็จมาทางอากาศ เป็นสิ่งยืนยันถึงในอดีตว่า เจ้าพระคุณ สมเด็จฯโต พรหมรังสี ได้มีการสร้างอธิษฐานจิตปลุกเศก
 
ผู้ที่เชื่อ และศรัทธาได้ไว้ครอบครอง ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อและไม่ศรัทธารวมทั้งขี้สงสัยก็ได้แต่สงสัยต่อไป
 

167. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411

เหล็กไหลที่ประสร้างสมัย รัชกาลที่ 4 วาระ พ.ศ. 2407 และ พ.ศ.2408 ที่ผู้เขียนพบและสัมผัส มากกว่า 95% เป็นเหล็กไหลประเภทดูดติดกัน  มีเหล็กไหลน้อยมากที่ไม่ดูดติดดังเช่นแม่เหล็ก

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ที่อธิษฐานจิตโดย สมเด็จพุฒจารย์โต วัดระฆัง ในวาระที่ ร.5 ขึ้นครองราชย์ ที่พบเกือบจะ 100% เป็นเม็ดประคำเหล็กไหลประเภทดูดไม่ติดกัน ดัีงรูป

1671001  

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโต วัดระฆัง ไม่มีคุณสมบัติในการดูดติดกันดั่งแม่เหล็ก ยกเว้นเม็ดแบนจะดูดติด

เหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411

1671002  

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ พ.ศ.2411  ความแตกต่างที่ช่างสิบหมู่สร้างเพื่อให้ทราบวาระการสร้าง พ.ศ.2411 ให้สังเกตุในวงกลมสีขาว  และในวงกลมสีเขียว ภู่จะต้องมีสีแดงเป็นพวงเส้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ จำนวนเส้นไม่แน่นอน ซึ่งเป็นการระบุเอกลักษณะหมายถึงเป็นสร้อยประคำที่หลวงปู่โต หรือ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆังอธิษฐานจิต


ความแรงของพุทธคุณเดิมๆ ไร้ขีดจำกัด  สร้อยประคำลักษณะอย่างนี้ถ้าพบเห็นให้เก็บไว้ก่อน  เพราะของดีและแรงจริง

ขนาดของเม็ดประคำเหล็กไหลจะมีขนาดเล็กกว่า เม็ดประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในวาระ พ.ศ. 2407 และ พ.ศ.2408 เล็กน้อย  เช่นในรูป เป็นสร้อยประคำที่มีขนาดเล็กกว่า 2 1/2 หุน  แต่มีขนาดใหญ่กว่า 2 หุน  ไม่มีคุณสมบัติดูดติดกันดั่งเช่นแม่เหล็

166. สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ สร้างสมัย ร.6

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ สร้างสมัย ร.6

สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ(สายวัง) ฝีมือช่างสิบหมู่ ที่ผู้เขียนพบมีอยู่ 3 ยุค คือ
   1. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2407 และะ พ.ศ.2408  อธิษฐานจิตโดยเจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง

   2. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ.2411 อธิษฐานจิตโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง(หายากมากๆ พบเพียง 1 เส้น)


   3. สร้างยุคสมัยรัชกาลที่ 6 พ.ศ.2463 (สมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังไม่ได้อธิษฐานจิต)

      ***ข้อแตกต่างสร้อยประคำเหล็กไหลสมัย ร.4 กับ ร.6
     - สมัย ร. 4
อธิษฐานจิตโดยเจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง  สมัย ร. 6 สมเด็จฯโตไม่ได้อธิษฐานจิต
     - สมัย ร. 4 นับลูกประคำได้ 110 ลูก(องค์)  สมัย ร. 6 นับลูกประคำได้ 108 ลูก(องค์)
     - สมัย ร. 4 ลูกประคำเหล็กไหลฯมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเม็ดประคำฯที่สร้าง  สมัย ร. 6
     - สมัย ร. 4 สร้อยประคำเหล็กไหลฯมีขนาดเส้นยาวกว่า สร้อยประคำฯที่สร้าง  สมัย ร. 6 มากพอสมควร

คลิก...ลิงก์ เหล็กไหลไพลดำ...1
คลิก...ลิงก์ เหล็กไหลไพลดำ...2 



 1661001 
รูปสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ ที่สร้างสมัย ร.6 พ.ศ. 2463  สมเด็จฯโต(วัดระฆัง) ไม่ได้อธิษฐานจิต  สังเกตุภู่ที่ปลายจะมีเส้น 2 เส้น  ด้ายรูปแบบนี้เป็นข้อบ่งชี้ของผู้สร้าง  ระบุวาระการสร้างที่แตกต่าง  ซึ่งจะมีความแตกต่างกับสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างในสมัย ร.4


เหล็กไหลไพลดำ สร้างสมัย ร.6

1661002 

รูปสร้อยประคำที่ตัดเชื่อกร้อยออกจะพบเห็นเชือกร้อยด้านในเป็นสีน้ำเงินดำเข้ม


สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำนี้สร้างในสมัย ร.6  มีพลังพุทธานุภาพแรง  แต่ยังด้อยกว่าสร้อย ประคำเหล็กไหลไพลดำนี้สร้างในสมัย ร.4 และอธิษฐานจิตปลุกเศกโดยสมเด็จฯโต  ซึ่งในครั้งแรกผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้เก็บ  เพราะสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่อธิษฐานจิตโดยสมเด็จโตมีมากพอสมควร และเด่นกว่ามากในเรื่องพลังพุทธคุณฯลฯ

ภายหลัสร้อยประคำฯที่สร้างสมัย ร.6 ที่ผู้เขียนไม่ได้แนะนำให้เก็บ  แต่มีผู้รู้และไม่รู้ต่างเก็บออกไปจากตลาดจนหมด  คนเหล่านี้ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำที่สร้างสมัย
เจ้าพระคุณ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี วัดระฆัง เพราะจับพลังแล้วแรง

เมื่อมีคนเก็บกันมากจนแทบจะหาในตลาดไม่ได้  ผู้เขียนจึงขอกล่าวข้อมูลลึกๆให้ทราบว่า  สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำลักษณะอย่างนี้  หากกล่าวว่า
         "เป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำ  ที่อธิษฐานจิตโดยปู่โต ย่อมเป็นของปลอม"
         "ถ้าบอกว่าเป็นสร้อยประคำเหล็กไหลไพดำ  ที่สร้างสมัย ร.6 เป็นของแท้แน่นอน" แต่พลังพุทธคุณฯต่างกัน

164. เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว

เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว

ผู้เขียนได้รับมอบเหล็กไหลชีปะขาวชิ้นหนึ่งเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา  จากพระภิกษุฯ รูปหนึ่งขอสงวนนาม  เหล็กไหลชิ้นนี้เป็นเหล็กไหลที่ตัดมาจากทางภาคเหนือของประเทศลาวเมื่อ พ.ศ.2549 โดยฆราวาสธรรมกลุ่มหนึ่งที่มีคาถาอาคมแก่กล้า ทำพิธีกรรมในการขอฯ และ ตัดมาจำนวนหนึ่ง

จึงได้ขออนุญาตพญาเหล็กไหลฯ รวมทั้งเทพเทวาฯผู้ดูแลเหล็กไหลฯ มีวัตถุประสงค์เปิดเผยให้ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเหล็กไหล พร้อมทั้งได้นำภาพมาให้ได้ชมดังรูป

1641001 
เหล็กไหลเงินยวง หรือ 
เหล็กไหลชีปะขาว แต่ละรูปเผยให้เห็นถึงการหดตัวของเหล็กไหลฯเมื่อตัดเสร็จ  บริเวณผิวของเหล็กไหลฯยังมีเทียนอาคมติดอยู่บ้างในซอกมุม
 
เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว อยู่ในประเภทเหล็กไหลน้ำหนึ่ง

 
เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว ( เหล็กไหลน้ำหนึ่ง)
         เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีสูงสุด จะเรียกว่าดีที่สุดก็ว่าได้ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้คลอบจักวาร
มักอยู่ตามที่ๆมีอากาศเย็นมาก   พบมากในแถบเนปาล ธิเบต และแถบที่มีหิมะปกคลุมตลอด
เหล็กไหลชนิดนี้ มีสีเงินขาวเป็นยวงคล้ายกับปรอทมีความแวววาวเหมือนโลหะ มีฤษีชั้นพรหมดูแลรักษาอยู่
         เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีสูงสุด
จะเรียกว่าดีที่สุดก็ว่าได้  เหล็กไหลประเภทนี้มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือกพวกพระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะมีมากในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต ส่วนในประเทศเราจะพบเห็นตามถ้ำทางภาคเหนือ และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของพม่า และทางลาวเหนือ เพราะเหล็กไหลชีปะขาวชอบอากาศหนาวจัด มีอานุภาพทางแคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราว ถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้ เหล็กไหลชีปะขาวใช้แทนเพชรได้ในกรณีต้องการตัดกระจก สามารถตัดกระจกให้ขาดได้ เพราะมีความแข็งพอๆ กับเพชร เหล็กไหลชีปะขาวทุบไม่แตก ตัดไม่ขาด
         เหล็กไหลชีปะขาวสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ผู้ครอบครองจะหมดสิ้นอายุขัย มีเคราะห์ร้ายถึงตาย เมื่อใดเหล็กไหลชีปะขาวจะถือโอกาสล่องหนอันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าเหล็กไหลชีปะขาวของตนหายก็อย่าได้ตกใจจนขวัญเสีย มีสติปลงให้ตก ทำบุญสุนทาน แผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจะต้องตายไปจริง ๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ

ความสามารถ
เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้คลอบจักวาร มีพลังทางร้อนแรง ทำลายอวิชาต่างๆได้ดี สร้างภาพลวงตา และปรับ อุณหภูมิภายในร่างกายให้กับเจ้าของ ล่องหนหายตัวได้ ใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรค ป้องกันคุณผี คุณคน เป็นมหาอุด และเสริมดวงฯลฯ

วิธีตรวจสอบ
ให้คนที่มี ญาณ หรือพระเกจิเก่งๆตรวจสอบ    ของชิ้นนี้มีบารมีสูง

สิ่งที่ชอบ
ไม่ชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบแสงจันทร์

การดูติดแม่เหล็ก 
เหล็กไหลเงินยวง หรือ เหล็กไหลชีปะขาว เป็นวัสดุหรือวัตถุที่ไม่สามารถให้กำเนิดสนามแม่เหล็ก ได้แก่ ไม่มีคุณสมบัติการดูดและการผลักกันระหว่างกันดั่งเช่น แท่งแม่เหล็ก